ก่อนจะเลือกซื้อแอร์สักเครื่อง หนึ่งในปัจจัยสำคัญที่ต้องพิจารณาคือ “BTU” ครับ ซึ่งเป็นตัวเลขที่บ่งบอกถึงความสามารถในการทำความเย็นของแอร์ โดยในบทความนี้ Onetomany จะพาผู้อ่านไปเรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับหน่วย BTU โดยอธิบายว่า BTU คือ อะไร, ดูตรงไหน, วิธีคำนวณและเทคนิคการเลือกแอร์ให้เหมาะสมกับขนาดห้อง เพื่อให้การเลือกซื้อแอร์เป็นเรื่องง่ายสำหรับคุณ
BTU คืออะไร ?
BTU ย่อมาจาก British Thermal Unit ซึ่งเป็นหน่วยวัดพลังงานที่ใช้วัดความร้อนหรือพลังงานในการทำงาน โดย 1 BTU คือปริมาณพลังงานที่ต้องใช้ในการเพิ่มอุณหภูมิของน้ำ 1 ปอนด์ขึ้น 1 องศาฟาเรนไฮต์ ในบริบทของเครื่องปรับอากาศ BTU บ่งบอกถึงความสามารถในการทำความเย็น โดยใช้หน่วย BTU/h ยิ่งแอร์มีค่า BTU สูง หมายความว่าสามารถทำความเย็นได้มากและใช้พลังงานไฟฟ้ามากขึ้น นั่นหมายความว่าหากคุณเลือกแอร์ที่มี BTU สูงเกินไป อาจทำให้เปลืองไฟโดยไม่จำเป็นนั่นเองครับ
ข้อควรรู้ระหว่างหน่วย BTU, TON และ kW
นอกจาก BTU แล้ว ยังมีการใช้หน่วยวัดพลังงานอย่าง TON และ kW เพื่อระบุความสามารถในการทำความเย็นหรือความร้อน โดยแต่ละหน่วยมีลักษณะการใช้งานและการแปลงเป็นค่าอื่น ๆ ดังนี้
TON (Cooling Ton)
คำว่า “Ton” มาจากการวัดความสามารถในการละลายของน้ำแข็ง ซึ่ง 1 Ton หมายถึงการละลายน้ำแข็ง 1 ตันใน 24 ชั่วโมง
1 Ton = 12,000 BTU/h
หากคุณพบเครื่องปรับอากาศหรือระบบทำความเย็นที่ระบุความสามารถในหน่วยของ Ton จะสามารถแปลงหน่วยนี้เป็น BTU ได้ง่ายๆ ด้วยการคูณด้วย 12,000 เช่น
2 Ton = 2 x 12,000 = 24,000 BTU/h
kW (kilowatt)
kW ย่อมาจาก “kilowatt” ซึ่งเป็นหน่วยวัดพลังงานไฟฟ้าในระบบเมตริกโดย
1 kW ≈ 3,414 BTU/h
ยกตัวอย่างหากเครื่องปรับอากาศระบุความสามารถมาในหน่วย 5kW คุณสามารถแปลงเป็น BTU ได้โดยคุณ 3,414 เช่น
5 kW = 5 × 3,414 = 17,070 BTU/h
BTU แอร์ดูตรงไหน
ตำแหน่งที่ระบุ BTU แอร์จะแตกต่างกันไปตามรุ่นหรือยี่ห้อ แต่โดยหลัก ๆ แล้วจะมีตำแหน่งที่สามารถดูขนาด BTU ได้ดังต่อไปนี้
- แอร์บ้าน หรือ แอร์ติดผนังทั่วไป: สามารถดูได้จากฉลากประหยัดไฟเบอร์ 5 หรือฉลากที่ระบุข้อมูลจำเพาะที่อาจติดไว้ที่คอมเพรสเซอร์หรือที่คอยล์เย็น
- แอร์ฝังฝ้า หรือ แอร์ติดเพดาน: วิธีดูจะยากกว่าแอร์บ้านโดยสามารถดูได้จากเนมเพลตที่ระบุไว้บนตัว Condensing Unit ที่ติดตั้งไว้นอกอาคาร
วิธีคำนวณ BTU แอร์ตามขนาดห้อง
ในการคำนวณขนาด BTU แอร์ มีปัจจัยมากมายไม่ว่าจะเป็นขนาดห้อง, ตัวแปรความแตกต่าง, ความสูงของเพดานและค่า Cooling Load โดยสามารถใช้สูตรคำนวณ
BTU = พื้นที่ห้อง (กว้างxยาว) x ค่า Cooling Load
Cooling load คือปริมาณพลังงานความร้อนที่ต้องนำออกจากอาคารหรือพื้นที่ เพื่อรักษาอุณหภูมิที่ต้องการให้อยู่ในระดับที่สบาย โดยมีการกำหนดเป็นตัวแปรได้ ดังนี้
- ห้องที่โดนแดดจัด: 800-1000 BTU
- ห้องที่ไม่โดนแดด: 600-800 BTU
- ห้องออกกำลังกายหรือมีความร้อนสูง: 900-1000 BTU
- ร้านค้าหรือร้านอาหาร: 1000-1200 BTU
ตัวอย่างการคำนวณ BTU
หากห้องมีขนาด 4 x 5 เมตร ไม่โดนแดดจัด จะสามารถคำนวณ BTU ได้ดังนี้
BTU = (4 เมตร x 5 เมตร) x 600 BTU = 20 ตารางเมตร x 600 BTU = 12,000
ดังนั้นหากคุณต้องการติดตั้งแอร์สำหรับห้องที่มีขนาด 20 ตารางเมตร ควรเลือกแอร์ที่มีขนาด 12,000 BTU ขึ้นไป
ตารางเลือก BTU แอร์ตามขนาดห้อง
หากการคำนวณนั้นยุ่งยากเกินไป คุณสามารถเลือกขนาด BTU ของแอร์ได้จากขนาดห้อง ตามตารางที่เราสรุปให้ด้านล่างนี้ครับ
BTU | ขนาดห้องไม่โดนแดดจัด | ขนาดห้องโดนแดดจัด |
9,000 | ไม่เกิน 13 ตารางเมตร | ไม่เกิน 12 ตารางเมตร |
12,000 | ไม่เกิน 19 ตารางเมตร | ไม่เกิน 16 ตารางเมตร |
18,000 | ไม่เกิน 26 ตารางเมตร | ไม่เกิน 23 ตารางเมตร |
20,000 | ไม่เกิน 29 ตารางเมตร | ไม่เกิน 25 ตารางเมตร |
24,000 | ไม่เกิน 35 ตารางเมตร | ไม่เกิน 30 ตารางเมตร |
30,000 | ไม่เกิน 43 ตารางเมตร | ไม่เกิน 38 ตารางเมตร |
36,000 | ไม่เกิน 52 ตารางเมตร | ไม่เกิน 45 ตารางเมตร |
48,000 | ไม่เกิน 69 ตารางเมตร | ไม่เกิน 60 ตารางเมตร |
60,000 | ไม่เกิน 86 ตารางเมตร | ไม่เกิน 75 ตารางเมตร |
ข้อดีของการเลือก BTU แอร์อย่างเหมาะสม
การเลือกขนาด BTU ของเครื่องปรับอากาศให้เหมาะสมกับขนาดห้อง ส่งผลต่อประสิทธิภาพการทำงานของเครื่องปรับอากาศ รวมถึงความสะดวกสบายและการประหยัดพลังงานโดยมีข้อดีดังนี้
- ประหยัดพลังงานและค่าไฟฟ้า: หากเลือก BTU ที่เหมาะสมกับขนาดห้อง แอร์จะทำงานอย่างมีประสิทธิภาพ ไม่ต้องทำงานหนักเกินไป ซึ่งจะช่วยลดการใช้พลังงานและทำให้ประหยัดค่าไฟฟ้า
- เพิ่มความสบายในห้อง: การเลือก BTU อย่างเหมาะสมจะทำให้ห้องเย็นสบายและคงอุณหภูมิที่ต้องการได้อย่างต่อเนื่อง แอร์จะไม่ต้องเปิด-ปิดบ่อย ๆ หรือทำงานหนักเกินไป ทำให้ความเย็นในห้องกระจายตัวอย่างสม่ำเสมอ
- ยืดอายุการใช้งานของเครื่องปรับอากาศ: หากเลือก BTU ที่เหมาะสม เครื่องปรับอากาศจะไม่ทำงานหนักเกินไป ซึ่งช่วยลดการสึกหรอและยืดอายุการใช้งานของเครื่องปรับอากาศได้
- ลดเสียงรบกวน: การทำงานของแอร์ที่ต้องเปิด-ปิดบ่อย ๆ เนื่องจาก BTU ที่ไม่เหมาะสม อาจทำให้เกิดเสียงรบกวนมากขึ้น การเลือก BTU ที่เหมาะสมจะช่วยให้เครื่องทำงานเงียบและราบรื่นกว่า
- ป้องกันการเกิดความชื้นสะสม: แอร์ที่มี BTU สูงเกินไปอาจทำให้ห้องเย็นเร็วเกินไป แต่ระบบไม่ได้ลดความชื้นออกจากอากาศเพียงพอ ซึ่งอาจทำให้ห้องมีความชื้นสะสม การเลือก BTU ที่เหมาะสมจะช่วยลดปัญหานี้
- ป้องกันการทำงานที่ต่ำเกินไป: หากเลือก BTU น้อยเกินไปสำหรับขนาดห้อง แอร์จะทำงานหนักมากเกินไปเพื่อพยายามรักษาความเย็น ซึ่งอาจส่งผลให้เครื่องเสียหายเร็วขึ้น และไม่สามารถทำความเย็นได้เพียงพอ
บทสรุป
สรุปแล้ว BTU แอร์คือตัวเลขที่บ่งบอกความสามารถในการทำความเย็นของเครื่องปรับอากาศ ซึ่งสามารถคำนวณขนาดของ BTU ได้ง่าย ๆ จากขนาดห้องและค่า Cooling load ซึ่งการเลือกขนาดแอร์อย่างเหมาะสมมีประโยชน์กับผู้ใช้งานไม่ว่าจะช่วยประหยัดค่าไฟฟ้า ทำให้อากาศในห้องเย็นสบาย ลดภาระของเครื่องปรับอากาศ ช่วยลดเสียงรบกวน ป้องกันความชื้นสะสมและป้องกันการที่แอร์ทำงานหนักเกินไปจนอาจทำให้เครื่องปรับอากาศคุณเสียหายอย่างรวดเร็วครับ